บทที่
1
การบริหารการเงินส่วนบุคคลและการงานแผนทางการเงิน
เงินมีบทบาทต่อบุคคลเป็นอย่างยิ่งเพราะมนุษย์จำเป็นต้องใช้เงินจับจ่ายใช้สอยสิ่งของจำเป็นสำหรับการดำรงชีพประจำวันของบุคคลเพราะเป็นสิ่งที่ช่วยอำนวยความสะดวกสบายให้แก่บุคคล
เงินเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของบุคคลอย่างมากที่จะให้บรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจสู่ความมั่นคงหรือความมั่นคง
(Wealth) ในครอบครัวตน
1.
ความหมายของเงิน
1.1 เงิน (Money)
เงิน (Money) คือ สิ่งที่สังคมได้สมมุติขึ้น และเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปของสังคมในขณะนั้น
เพื่อใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ
ใช้ในการชำระหนี้ตามความต้องการ (จรินทร์ เทศวาณิช 2526
: 16 )
เงิน (Money) หมายถึง “สิ่งใด ๆ
ที่สังคมยอมรับโดยทั่วไปในขณะใดขณะหนึ่งและในเขตพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง
ในฐานะเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการโดยใช้ชำระค่าสินค้าและบริการรวมทั้งการชำระหนี้ในปัจจุบันและในอนาคต”
(วันรักษ์ มิ่งมณีนาคิน 2545 : 108)
เงินเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการและใช้ชำระหนี้โดยใช้เป็นเครื่องวัดและมูลค่าและบริการเป็นหน่วยเงินตราตามเวลา
สถานที่ที่กำหนด
ดังนั้นเงินจึงเป็นที่ยอมรับจากประชาชนทั่วไปเงินที่ใช้ในระบบเศรษฐกิจแบ่งออกเป็น 3
ชนิด คือ เงินเหรียญ (Coins) เงินกระดาษ (Paper
money) และเงินธนาคาร (Scriptural money) คือเงินฝากกระแสรายวันซึ่งจะต้องสั่งจ่ายตามคำสั่งของเจ้าของบัญชีเงินฝากกระแสรายวันด้วยเช็ค
1.2
การบริหารการเงินส่วนบุคคล (Personal literacy)
การบริหารการเงินส่วนบุคคล (Personal
Literacy) เป็นทักษะการจัดการเงินของบุคคลว่าด้วยเรื่องการจัดหาเงินรายได้เพื่อมาใช้ในการดำรงชีพของบุคคลขณะเดียวกันจะต้องหาวิธีการหรือเทคนิคของการใช้จ่ายเงิน
การออมและการลงทุนของบุคคลให้มีประสิทธิภาพจนบุคคลมีตามความมีอิสรภาพทางการเงิน (Financial
Freedom) คือสภาวะมีอิสรเสรีภาพพอจะเลือกใช้ชีวิตและเลือกอาชีพแบบที่ตนเองต้องการโดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีเงินไม่พอใช้จ่ายการบริหารการเงินส่วนบุคคลเป็นทักษะชีวิต
(Life Skill) ของแต่ละบุคคลการศึกษาเรื่องการบริหารการเงินส่วนบุคคลมีเนื้อหาสาระครอบคลุมเรื่องต่อไปนี้
1.2.1
การหารายได้ (Earning)
1.2.2
การใช้จ่ายเงิน (Spending)
1.2.3
การออมเงิน (Saving)
1.2.4
การลงทุน (Investing)
2.
การวางแผนการเงินส่วนบุคคล และหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
การวางแผนทางการเงินส่วนบุคคล (Personal
financial planning) คือ
กระบวนการกำหนดแนวทางการใช้เงินอย่างมีทิศทางให้บรรลุเป้าหมายทางการเงิน
เหมาะสมกับรายได้ที่ได้รับและเพื่อให้เกิดความมั่งคั่งทางเงินในอนาคต
2.1 ความสำคัญของการวางแผนการเงินส่วนบุคคล
การวางแผนทางการเงินส่วนบุคคลมีความสำคัญ
ดังนี้
2.1.1 เป็นเครื่องมือควบคุมการใช้จ่ายเงินส่วนบุคคล เพราะความต้องการบริโภคสินค้าและบริการมีมากมายไม่จำกัด
หากปราศจากการควบคุมที่ดีก็จะมีภาระหนี้สินมากมายจนขาดอิสรภาพทางการเงินในที่สุด
2.1.2 เกิดการประหยัดค่าใช้จ่ายก่อให้เกิดการเงินออม การวางแผนทางการเงินจะทำให้บุคคลทราบว่าตนมีรายการจ่ายที่เกิดขึ้น
ว่าเป็นรายจ่ายที่จำเป็นหรือฟุ่มเฟือยได้ทำให้บุคคลสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายที่จำเป็นหรือไม่จำเป็นได้
ทำให้มีเงินออมเก็บไว้ใช้อนาคต
2.1.3
เป็นเครื่องมือป้องกันปัญหาหนี้สิน การวางแผนการเงินส่วนบุคคลที่ดีจะทำให้บุคคลใช้จ่ายเงินอย่างรอบคอมมีการใช้จ่ายเงินตามฐานะรายได้ของตนไม่ต้องมีภาระหนี้สินที่เกิดจากการใช้จ่ายเกินตัว
2.1.4
เป็นเครื่องมือสร้างความมั่งคั่งและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ความมั่นคงและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง
เกิดจากการที่บุคคลมีรายได้สูงกว่ารายจ่าย เพื่อให้มีเงินออมมากพอที่จะเป็นหลักประกันของครอบครัวว่ามีความมั่นคงที่ยั่งยืนอันยาวนานตลอดไป
เช่น การมีบ้านและที่ดิน มีหุ้นในบริษัท มีกิจการที่เป็นแหล่งรายได้ที่มั่นคง
เป็นต้น
2.1.5
ช่วยทำให้สามารถประเมินฐานะทางการเงินของตนเองถูกต้องตามความเป็นจริง การวางแผนการเงินส่วนบุคคลจะทำให้บุคคลทราบว่ามีรายจ่ายที่เกิดขึ้นในแต่ละเดือนเท่าใดทำให้บุคคลประเมินทางการเงินของตนเองได้ตรงตามความเป็นจริงทำให้ระมัดระวังไม่ใช้จ่ายเงินเกินตัว
2.2
กลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกับการวางแผนทางการเงิน
หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสามารถนำมาประยุกต์ใช้หลักในการออมและการลงทุนได้เป็นอย่างดี
คำว่า “เศรษฐกิจพอเพียง”
กับการวางแผนทางการเงินเป็นแนวทางปฏิบัติให้การดำรงตนด้วยความพอประมาณ
ความมีเหตุผลและการมีระบบคุ้มกันในตัวที่ดี
ซึ่งถ้าหากปฏิบัติได้ตามหลักอย่างครบถ้วนแล้ว
เชื่อได้ว่าทุกคนจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข ไม่ว่าจะใน
3-4 ปี หรือ 20-30 ปี ข้างหน้าก็ตาม
2.2.1 ความพอประมาณ หมายถึงการเลือกดำรงชีวิตให้เหมาะสมกับรายได้รายจ่าย
ลักษณะความเป็นอยู่ และนิสัยของเรา
โดยไม่โลภหรืออยากได้อยากมีมากจนเกินไปอาจทำได้โดยการแบ่งเงินที่มีอยู่ในวันนี้ให้เป็นส่วน
ๆ อย่างเหมาะสม เช่น จะออมเท่าไร
ใช้เท่าไรจัดสรรเงินแต่ละส่วนให้เหมาะสมและยังช่วยทำให้ทราบถึงงบประมาณที่นำไปใช้ในการออมการลงทุน
2.2.2 ความมีเหตุมีผล หมายถึงการตัดสินใจออมเงิน
การใช้จ่ายเงินและลงทุนอยู่บนพื้นฐานของการมีสติและใช้ปัญญาที่เกิดจากการศึกษาค้นคว้าหาความรู้จากแหล่งต่าง
ๆ ที่จะนำมาประกอบการตัดสินใจในแต่ละครั้ง ไม่ได้เชื่อหรือตัดสินใจทำเพียงเพราะได้ยินได้ฟังจากบุคคลรอบข้างเพื่อเลียนแบบกันเป็นการใช้ความคิดไตร่ตรองวิเคราะห์ตัดสินใจบนพื้นฐานของปัญญานั้น
เป็นหลักการที่สอนอยู่ในพระพุทะศาสนาและสามารถนำไปปรับใช้ได้ในทุก ๆ ด้านของชีวิต
2.2.3 ระบบคุ้มกันในตัวที่ดี หมายความว่าให้ดำรงชีวิตตั้งอยู่บนความไม่ประมาทและควรเริ่มออก
เริ่มลงทุนเพื่ออนาคตตั้งแต่เนิ่น ๆ ไม่ใช่รอให้เวลาผ่านไปอย่างไร้ค่า
หรือใกล้เกษียณแล้วค่อนมาคิดกัน
นอกจากนี้การมีระบบคุ้มกันตัวที่ดียังหมายถึงการเตรียมตัวในทุก ๆ เรื่อง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเงิน สุขภาพ สังคมและการดำเนินชีวิต
เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนมีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตทั้งในปัจจุบันและอนาคต
2.3 การเริ่มต้นวางแผนทางการเงิน แนวทางอย่างง่าย ๆ
สำหรับการเริ่มต้นวางแผนทางการเงินที่ดีจะนำทางสู่ความมั่งคั่งตามความต้องการนั้นทำได้
ดังนี้
2.3.1 ฝึกการมีวินัยทางการเงินให้แก่ตนเองก่อน คือ
การรู้จักรายได้ รายจ่ายของตนว่ามีเงินใช้จ่ายอย่างพอเพียง
กำหนดเป้าหมายทางการให้ชัดเจน โดยบุคคลจะต้องรู้จักประมาณตน
2.3.2 การจดบันทึกรายรับรายจ่าย เป็นรายวัน
รายสัปดาห์ หรือรายเดือนก็ได้ควรจดทุกวันจะจำรายรับ รายจ่ายได้แม่นยำกว่า
2.3.3 ให้สำรวจตนเอง 2 เรื่อง คือ
สถานะทางการเงินของตนเป็นอย่างไรและสำรวจอุปนิสัยการใช้เงินของตนเองเป็นอย่างไร เช่น
สุรุ่ยสุร่าย ฟุ่มเฟือย ประหยัด มัธยัสถ์ เป็นต้น
2.3.4 ให้จัดระเบียบทางการเงินของตนเกี่ยวกับ
1) วิธีการควบคุมการใช้จ่ายเงินได้อย่างไร
2) จะออมเงินเพื่อสำรองยามฉุกเฉินเท่าไร
3) จะเก็บออมเงินเพื่อซื้อทรัพย์สินเท่าไร
4) จะเก็บออมเงินยามเกษียณเท่าไร
5) จะนำเงินออมไปลงทุนเท่าไร
3.
ลักษณะการวางแผนการเงินที่ดี
3.1 การจัดทำแผนการเงินให้คำนึงถึงประโยชน์และความพอใจของคนในครอบครัวโดยส่วนรวม
3.2 วิธีการและรูปแบบการทำแผนการเงิน ควรทำได้ด้วยวิธีการง่าย ๆ
ไม่ยุ่งยากช้อนที่บุคคลสามารถกรอกรายการลงในแบบฟอร์มนั้น ๆ ได้ตลอดเวลา
3.3 เป็นแผนที่สามารถนำไปใช้ได้จริง ๆ
ไม่ใช่แผนที่จัดทำขึ้นอย่างสวยงามแต่นำมาใช้ไม่ได้และยุ่งยากเป็นภาระในการดำเนินชีวิตประจำวัน
3.4 สามารถปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมกับสถานการณ์และยืดหยุ่นตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
3.5 ควรมีการทดสอบและประเมินผลออกมาก่อนนำมาใช้
เพื่อพิจารณาว่ารายได้และรายจ่ายได้เกินขึ้นนั้นเป็นจริงตามแผนที่จัดทำไว้หรือแตกต่างไปจากที่กำหนดไว้ในแผนการเงินที่ทำไว้จำนวนเท่าไรด้วยสาเหตุใด
และมีวิธีการแก้ไขให้เป็นไปตามแผนได้อย่างไร
4.
ประโยชน์ของการวางแผนทางการเงิน
4.1 ช่วยให้บุคคลมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นเนื่องจากการวางแผนการเงินส่วนบุคคลให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการได้
4.2 ช่วยให้บุคคลจัดการรายรับ รายจ่าย
และเงินออมของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
4.3 ช่วยให้บุคคลมีการควบคุมสถานะทางการเงินของตนอย่างสม่ำเสมอ
ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลมีภาระหนี้สินมากเกินไป
4.4 ช่วยลดความวิตกกังวลทางการเงินของบุคคล
เนื่องจากการวางแผนทางการเงินจะทำให้บุคคลคาดการณ์รายได้และค่าใช้จ่ายในอนาคตแล้วนำไปวางแผนทางการเงินให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินได้ตามต้องพร้อมจัดทำแผนการเงินรองรับไว้ด้วย
5.
ข้อเสนอแนะการวางแผนทางการเงิน
ก่อนการวางแผนทางการเงินบุคคลควรรู้แนวคิดสำหรับการวางแผนทางการเงินคือ
5.1 การวางแผนทางการเงินจะประสบความสำเร็จต้องมีการตั้งเป้าหมายอย่างเป็นระบบ
เช่น ต้องการซื้อกล้องถ่ายรูปดิจิตอล จำนวนเงิน 20,000
บาท ระยะเวลาออม 10 เดือนนั้นต้องออมเดือนละ 2,000
บาท เป็นต้น
5.2 อย่าผัดวันประกันพรุ่ง ให้เริ่มต้นวางแผนทางการเงินกันตั้งแต่วันนี้ไม่ต้องรอให้หนี้สินล้นพ้นตัว
หรือเกิดมรสุมชีวิตกับตนเองก่อนจึงวางแผนทางการเงิน
5.3 ปรับเปลี่ยนความคิดที่ว่าคนรวย
หรือคนมีรายได้ประจำเท่านั้นจะต้องวางแผนทางการเงิน ความจริงแล้วทุกคน ทุกเพศ
ทุกวัยควรมีการวางแผนทางการเงิน
5.4 วิธีการวางแผนทางการเงิน
สามารถเริ่มต้นด้วยตนเองอย่างง่าย ๆ เช่น ให้เริ่มต้นจากการจดบันทึกในสมุด 1
เล่มก็ทำได้โดยไม่จำเป็นต้องจ้างที่ปรึกษาทางการเงินราคาแพง ๆ
เว้นแต่มีเงินจำนวนมาก เช่น ความรำกรวยเพราะการประกอบอาชีพ การถูกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลได้รับรางวัล
ได้รับค่าตอบแทนจากการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกได้เหรียญทองเป็นเงินจำนวนมากเช่นนี้ควรจ้างที่ปรึกษาทางการเงินมาบริหารเงินให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองมากที่สุดทั้งในปัจจุบันและในอนาคต
5.5 รูปแบบการวางแผนทางการเงินเอกสิทธิ์ส่วนบุคคล
รูปแบบการจัดทำแผนการเงินอาจแตกต่างกันได้ เนื่องจากเป้าหมาย รายได้
รายจ่ายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
5.6 ให้ทบทวนแผนการเงินของตนเองอย่างสม่ำเสมอให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
เพราะแผนการเงินที่ดีต้องสามารถยืดหยุ่นปรับปรุงได้
6.
หลักการวางแผนการเงินส่วนบุคคล
ขั้นตอนการวางแผนทางการเงินการวางแผนทางการเงินส่วนบุคคลมี
5 ขั้นตอนคือ
ขั้นที่ 1 การประเมินสถานะภาพการเงินของบุคคลในปัจจุบัน
ได้แก่ การพิจารณารายได้ค่าใช้จ่าย ทรัพย์สินภาระหนี้สินและจำนวนเงินออมที่มีอยู่ในปัจจุบันเพื่อนำมาจัดทำงบการเงินส่วนบุคคล
เช่น งบดุลส่วนบุคคล งบรายได้และค่าใช้จ่าย
ขั้นที่ 2 การกำหนดเป้าหมายทางการเงิน
การมีเป้าหมายทางการเงินจะทำให้บุคคลสามารถกำหนดแนวทางที่ต้องปฏิบัติเพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินที่ต้องการได้
ในการกำหนดเป้าหมายทางการเงินจะต้องระบุให้ชัดเจนตามหลัก SMART
และควรเหมาะสมกับสถานะการเงินของแต่ละบุคคล
ขั้นที่ 3 การกำหนดทางเลือกและการประเมินทางเลือก
การเลือกวิธีจัดการเงินเพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินที่กำหนดไว้และพิจารณาเลือกทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด
เช่น การออมเงิน การใช้จ่ายเงิน
การลงทุนเพื่อให้มีผลตอบแทนเพิ่มขึ้นที่ต้องหาข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ
หรือปรึกษาที่ปรึกษาทางการเงิน เช่น นายธนาคาร นักบัญชี ตัวแทนประกันภัย
เป็นต้น ตามความเหมาะสมเพื่อประกอบการพิจารณาหาทางเลือกที่ดีที่สุดให้กับตนเอง
ขั้นที่ 4 การปฏิบัติตามแผนการเงิน
กระบวนการสำคัญที่สุดในกระบวนการวางแผนการเงินส่วนบุคคลคือการปฏิบัติตามแผนการเงินที่กำหนดไว้หากไม่ปฏิบัติตามแผนการเงินที่วางแผนไว้ก็ตามก็ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินที่ต้องการได้
ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ต้องอาศัยความมุ่งมั่นและตั้งใจอย่างสูง
ขั้นที่ 5 การติดตามผลและปรับปรุงแผนการเงิน
หลังจากปฏิบัติตามแผนการที่วางไว้แล้วลำดับต่อมาคือการติดตามผลว่าแผนการเงินนั้นมีความเหมาะสมหรือไม่
สามารถปฏิบัติจริงได้หรือไม่ หากไม่สามารถปฏิบัติตามแผนได้จะต้องทำการปรับแผนการเงินใหม่เพื่อให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ที่เปลี่ยนไป
เช่น สถานทางการเงินของครอบครัว
ภาวะเศรษฐกิจของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปจึงต้องทบทวนและปรับปรุงแผนการเงินอยู่สม่ำเสมอ
7. ปัจจัยพื้นฐานของการวางแผนการเงินส่วนบุคคล
7.1 ผู้มีส่วนร่วมในการวาแผน ในครอบครัวใดครอบครัวหนึ่งผู้วางแผนการเงิน
คือ
หัวหน้าครอบครัวเป็นผู้กำหนดแผนกการเงินร่วมกับสมาชิกในครอบครัวจะก่อให้เกิดความผูกพันภายในครอบครัวและยอมรับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากการตัดสินใจร่วมกัน
ถ้ามีการตัดสินใจนอกเหนือจากแผนการที่วางไว้ก็มักจะมอบให้เป็นการตัดสินใจของผู้นำครอบครัวเพียงผู้เดียว
ถ้าเป็นคนโสดก็จะวางแผนทางการเงินด้วยตนเอง
7.2 รายได้ส่วนบุคคล ได้แก่
รายได้ส่วนบุคคลสุทธิบุคคลสุทธิซึ่งเป็นจำนวนเงินรายได้หลังหักภาษีที่สมาชิกภายในครอบครัวมอบให้แก่ครอบครัว
ควรวางแผนการเงินให้สอดคล้องกับรายได้สุทธิที่มีอยู่
7.3 วิเคราะห์บันทึกทางการเงิน เป็นการวิเคราะห์รายการจ่ายเงินซื้อสินค้าและบริการต่าง
ๆ ๆด้มากน้อยเพียงใดและมีการใช้จ่ายเงินไปในทางใดบ้าง เช่น ค่าใช้จ่ายประจำ ค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน ค่าใช้จ่ายการศึกษาบุตร
เป็นต้น เพื่อช่วยให้การวางแผนทางการเงินในอนาคตได้ดียิ่งขึ้น
8. เป้าหมายชีวิต (Life goal)
เป้าหมายชีวิต (Life
Goal) คือความต้องการที่ถูกกำหนดไว้ในอนาคตเพื่อเป็นหลักชัยในการดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพ
การกำหนดเป้าหมายชีวิตเปรียบเสมือนการมีเข็มทิศนำทางที่จะทำให้เราดำเนินชีวิตอย่างมีทิศทางที่แน่นอนเพื่อให้การดำรงชีวิตประจำวันและคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นมีความมั่นคงเป้าหมายของชีวิตมี
2 ลักษณะด้วยกันคือ
8.1 เป้าหมายที่เป็นตัวเงินหรือเป้าหมายทางการเงิน
(Financial goal) เป็นเป้าหมายที่สามารถกำหนดเป็นตัวเงินได้เช่นต้องการเก็บออมเงินไว้ซื้อบ้านราคา
1,000,000 บาท ต้องการเก็บออมเงินซื้อรถยนต์นั่งส่วนบุคคลราคา
570,000 บาท
หรือต้องการเก็บออมเงินไว้สำหรับใช้จ่ายในช่วงเกษียณอายุ 4,000,000 บาท สิ่งสำคัญที่จะทำให้บุคคลบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้
คือการกำหนดจำนวนเงินที่แน่นอน
8.2 เป้าหมายที่ไม่เป็นตัวเงิน (Non
– Financial goal ) เป็นเป้าหมายทางสังคมที่ต้องการให้สมาชิกในครอบครัวมีความสุข
มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ต้องการช่วยเหลือสังคมให้ได้รับความเป็นธรรมในสังคมเป็นต้น
การกำหนดเป้าหมายด้านนี้ไม่สามารถกำหนดเป็นจำนวนเงินที่แน่นอนได้
9.
หลักการกำหนดเป้าหมายชีวิต
ลักษณะที่ดีของการกำหนดเป้าหมายทางการเงินหรือเป้าหมายชีวิต
ต้องเป็นไปตามหลัก SMART ได้แก่
9.1 Specific (S) มีความชัดเจนและเฉพาะเจาะจง
ได้แก่ การกำหนดความต้องการที่คุณค่าต่อตนเองไว้อย่างชัดเจน
เช่น นายโต้งต้องการเงินเก็บออมไว้ลงทุนจำนวน
100,000 บาท เพื่อใช้ในยามเกษียณ
เป็นต้น
9.2 Measurable (M) ระบุและวัดผลได้
ได้แก่ การกำหนดเป้าหมายสามารถระบุและวัดผลลัพธ์ได้แน่นอน
เช่น นายโต้งมีเงินใช้ยามเกษียณแน่นอนถ้าเก็บออมเงิน
9.3 Accountable (A) ความมุ่งมั่นและลงมือปฏิบัติได้จริงทำได้สำเร็จ
ได้แก่ การตั้งใจจริงและลงมือปฏิบัติทันทีโดยรู้ว่าจะทำอย่างไรให้บรรลุผลตามเป้าหมายที่วางไว้
บุคคลควรมีความรับผิดชอบและมีวินัยในตัวเองเพื่อทำให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้
9.4 Realistic (R) มีเหตุผลเป็นจริงได้
เป็นการกำหนดเป้าหมายทางการเงินต้องเหมาะสมกับสถานะของแต่ละบุคคลนั้นที่จะสามารถทำให้สำเร็จได้
ตัวอย่างเช่น นายโต้งต้องการซื้อรถยนต์ราคาคันละ
700,000 บาท ภายใน 4 ปีในขณะที่เขามีรายได้เดือนละ
6,500 บาท เช่นนี้เป็นการกำหนดเป้าหมายที่ไม่มีเหตุผลเป็นจริงไม่ได้
9.5 Time bound (T) มีกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน
เป็นการกำหนดเป้าหมายทางการเงินที่มีกรอบระยะเวลาทีแน่นอนที่ต้องทำให้สำเร็จ
เพื่อประเมินความสำเร็จของเป้าหมายได้ เช่น นายโต้งต้องการซื้อรถจักรยานยนต์มูลค่า 35,000 บาท และผ่อนชำระค่ารถจักรยานยนต์เดือนละไม่เกิน
1,500 บาทภายในเวลา 3 ปี นั่นคือ
นายโต้งต้องวางแผนการออมเงินเพื่อเป็นเงินดาวน์จำนวนเท่าไรจึงจำไม่เดือดร้อนกับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของตน
10.
ประเภทของเป้าหมายชีวิตหรือเป้าหมายทางการเงิน
เป้าหมายชีวิตแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
10.1 เป้าหมายระยะสั้น (Short-term
goal) เป็นการกำหนดเป้าหมายที่สามารถทำให้สำเร็จได้ภายในระยะเวลาไม่เกิน 1
ปีอาจเป็นเป้าหมายที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตหรือไม่ก็ได้ เช่น
ต้องการเงินสำหรับค่ารักษาพยาบาลเนื่องจากเจ็บป่วย ต้องการเก็บออมเงินเพื่อซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ภายใน 6 เดือนนี้ เป็นต้น
10.2 เป้าหมายระยะยาว (Long-term
goal) เป็นการกำหนดเป้าหมายที่สามารถทำสำเร็จได้เมื่อใช้ระยะเวลานานมากกว่า 1
ปี เช่น
ต้องการเก็บออมเงินไว้ซื้อบ้านที่อยู่อาศัยต้องการเก็บออมเงินไว้เพื่อจ่ายยามเกษียณเป็นต้น
11.
การแบ่งช่วงอายุ/ช่วงชีวิต (Life cycle) กับการวางแผนทางการเงิน
ช่วงอายุของบุคคลแต่ละช่วงจะมีผลต่อความสามารถในการหารายได้และการใช้จ่ายเงินแตกต่างกันตามภาระความรับผิดชอบของบุคคล
ดังนั้นช่วงชีวิตจึงนับว่าเป็นปัจจัยสำคัญประการแรกที่ต้องพิจารราในการวางแผนทางการเงินช่วงอายุของบุคคล
แบ่งออกเป็น 3 ช่วงอายุดังนี้
11.1 ช่วงเริ่มทำงานหรือช่วงสะสมทุนทรัพย์ ได้แก่ ช่วงอายุตั้งแต่เริ่มทำงานถึงอายุ 54 ปี
เป็นช่วงอายุที่มีรายได้น้อยสม่ำเสมอในระยะแรกและรายได้จะเพิ่มขึ้นตามความรับผิดชอบและอายุงานที่เพิ่มขึ้น
ส่วนรายจ่ายของบุคคลในช่วงอายุนี้มีรายจ่ายค่อนข้ามากเพราะเป็นช่วงที่สร้างฐานะขิงครอบครัว
มีภาระเลี้ยงครอบครัว และซื้อทรัพย์สินต่าง
ๆ เพื่อสร้างฐานะให้แก่ครอบครัว เช่น รถยนต์ บ้าน
เครื่องอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เป็นต้น
11.2 ช่วงก่อนปลดเกษียณ ได้แก่ ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 55 ถึง 64 เป็นช่วงที่มีความสามารถหารายได้สูงที่สุด เนื่องจากบุคลมีฐานะมั่นคง
ส่วนรายจ่ายจะลดเพราะบุตรสำเร็จการศึกษา ทำงานหาเลี้ยงตนเองได้และมีฐานะมั่นคง และหนี้สินลดลงจึงทำให้มีที่เหลือไว้สำหรับลงทุนมากขึ้น
และควรเก็บออมเงินบางส่วนสำรองไว้ใช้สำหรับช่วงเกษียณอายุทำงานด้วย
จึงควรวางแผนการเงินเกี่ยวกับการลงทุนเพื่อเกษียณอายุนั้น
ควรวางแผนล่วงหน้าก่อนเกษียณอย่างน้อย 5 ปี เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตอย่างปกติสุขได้
ดังนั้นผู้ที่จะปลดเกษียณต้องสำรวจฐานะทางเศรษฐกิจก่อนปลดเกษียณว่าในปีเกษียณนั้น
มีทรัพย์สิน หนี้สิน และรายได้ รายจ่ายเท่าใด
11.3 ช่วงหลังเกษียณอายุ (ปลดเกษียณแล้ว)
ได้แก่ ผู้ที่มีอายุตั้งแต่
65 ปี ขึ้นไปความสามารถหารายได้ลดลงจึงต้องใช้ทรัพย์สินที่ได้สะสมและการลงทุนไว้
ผู้เกษียณจะมีแหล่งรายได้มาจากเงินบำเหน็จ บำนาญ เงินสะสม เงินประกันสังคม
รายได้จากการลงทุนด้านรายจ่ายส่วนใหญ่เป็นรายจ่ายในชีวิตประจำวัน
ค่าดูแลสุขภาพ ค่ารักษาพยาบาลหรือการผักผ่อนท่องเที่ยวการวางแผนทางการเงินส่วนบุคคลในช่วงอายุนี้จะเกี่ยวกับการวางแผนลงทุนและการวางแผนจัดการเกี่ยวกับทรัพย์สิน
12.
ปัญหาทางการเงินส่วนบุคคล
12.1 สาเหตุปัญหาทางการเงินส่วนบุคคล
การบริหารการเงินส่วนบุคคล (personal
Literacy) เป็นทักษะชีวิตของบุคคลทุกคนที่ควรรู้จักวีการจัดการเงินที่จะทำให้บุคคลไม่เกิดปัญหาทางการเงินที่จะทำให้บุคคลคนนั้นขาดอิสรภาพทางการเงินขาดความมั่นคงทางการเงินที่เกิดจากสาเหตุดังต่อไปนี้
12.1 1 การผัดผ่อนการออมเงิน เพราะการไม่มีวินัยในการออมและขาดความตั้งในจริงในการที่จะออมและการยึดติดความคิดเดิม
ๆ ที่ว่าการออมจะต้องออมจากเงินเหลือจากการใช้จ่ายก่อน
จากแนวคิดนี้จึงทำให้คนคิดว่าตนเองมีรายได้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเป็นวัน
ๆ เท่านั้น ไม่มีเงินเหลือเก็บออมเพราะมีรายจ่ายมากจนไม่มีเงินเหลือเก็บ
12.1.2 การใช้จ่ายฟุ่มเฟือย สุรุ่ยสุร่ายเกินตัว
เป็นการใช้จ่ายเงินเพื่อความสะดวกสบาย หรือใช้จ่ายซื้อสินค้าหรือบริการเพื่อความมีหน้ามีตาทัดเทียมคนอื่น
โดยไม่คำนึงถึงรายได้ที่มีอยู่จนก่อให้เกิดการใช้จ่ายเงินเกินตัวเพราะอยากให้สังคมยอมรับ
เพื่อความมีหน้ามีตาในสังคม เป็นต้น
12.1.3 ดำรงชีวิตด้วยความประมาท เป็นการดำเนินชีวิตเรื่อย
ๆ
โดยไม่คิดว่าจะมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นโดยไม่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้าว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นเมื่อไรในอนาคต
เช่น กาว่างงาน ธุรกิจล้มเหลว
การประสบอุบัติเหตุ การเจ็บป่วย หรือการเสียชีวิตทำให้มีเงินไม่พอใช้จ่ายกับภาระที่เกิดขึ้นจึงจำเป็นต้องกู้ยืมเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อแก้ปัญหานั้น
ๆ ทำให้มีหนี้สินเพิ่มมากขึ้น ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่คาดคิดไว้ล่วงหน้าเพราะเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นกับตัวเองแน่นอน
จึงเป็นการดำเนินชีวิตด้วยความประมาท
12.4 ขาดการวางแผนทางการเงิน บางคนคิดว่าตนเองไม่มีปัญหาทางการเงินเนื่องจากมีฐานะและอาชีพที่มั่นคงแล้ว
หรือคิดว่าการวางแผนทางการเงินเหมาะสำหรับคนที่ใกล้เกษียณแล้วเท่านั้น
หรือเพราะคิดว่าตนเองรายได้น้อยอยู่ไม่มีเงินออมเพราะภาระค่าใช้จ่ายสูงหรือเพราะตนยังไม่มีงานทำยังเรียนไม่จบ
เป็นต้น จึงทำให้บุคคลนั้น ๆ
ไม่คิดที่จะวางแผนทางการเงินและมีความคิดว่าการวางแผนทางการเงินเป็นเรื่องยุ่งยากไกลเกินตัว
12.2 ลักษณะของปัญหาทางการเงินส่วนบุคคล
12.2.1 ขาดสภาพคล่องทางการเงิน
มีรายได้ไม่พอกับรายจ่ายที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะการมีภาระดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายทุกเดือน
12.2.2 มีใบแจ้งหนี้เตือนมาล่วงหน้าสำหรับหนี้ที่ต้องจ่ายในเดือนนี้แต่ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนดได้
12.2.3 ได้รับหนังสือทวงถามหรือหนังสือเตือนจากเจ้าหนี้เนื่องจากการผิดนัดชำระหนี้หรือการชำระหนี้ช้ากว่ากำหนดในสัญญาเงินกู้
12.2.4 เมื่อมีค่าใช้จ่ายจำเป็นเกิดขึ้นหรือแม้กระทั่งค่าใช้จ่ายประจำมักใช้วีหยิบยืมเงินจากคนใกล้ชิดแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ
ปัญหาทางการเงินที่เกิดขึ้นจะทำให้บุคคลขาดอิสรภาพทางการเงินขาดความเชื่อถือในสังคมตลอดจนเกิดความเครียดและก่อให้เกิดปัญหาต่อตนเอง
ครอบครัว และที่ทำงานที่สุด